หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  พุทธศักราช 2551 
โรงเรียนเบ็ตตี้ดูเมน  2  ช่องเม็ก

 วิสัยทัศน์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน  ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย  ความรู้   คุณธรรม  มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก  ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  มีความรู้และทักษะพื้นฐาน  รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ  การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต  โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 

หลักการ

          หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีหลักการที่สำคัญดังนี้

1.  เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ  มีจุดมุ่งหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล

2.  เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน  ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ

3.  เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ  ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น

4.  เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้  เวลาและการจัดการเรียนรู้เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

5.  เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ  นอกระบบและตามอัธยาศัย  ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย  สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้  และประสบการณ์ 

จุดหมาย

          หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี  มีปัญญา  มีความสุข  มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้

1.  มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมอันพึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง  มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา  หรือศาสนาที่ตนนับถือ  ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

2.  มีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร  การคิด  การแก้ปัญหา  การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต

3.  มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี  มีสุขนิสัย  และรักการออกกำลังกาย

4.  มีความรักชาติ  มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก  ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


 

5.  มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย  การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม  มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม  และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข

สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้  ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น  จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ  5  ประการ  ดังนี้

1. ความสามารถในการสื่อสาร  เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร  มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด  ความรู้ความเข้าใจ  ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม  รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ  การเลือกรับและไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง  ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม

2. ความสามารถในการคิด  เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์  คิดสังเคราะห์  การคิดอย่างสร้างสรรค์       การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการคิดเป็นระบบ  เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม

3. ความสามารถในการแก้ปัญหา  เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค์ต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักการเหตุผล  คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ  เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม  แสวงหาความรู้  ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาละมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง  สังคมและสิ่งแวดล้อม

4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต  เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน    การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง  การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล  การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ  อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม  และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น

5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี  เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ  และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้  การสื่อสาร  การทำงาน  การแก้ปัญหาอย่างร้าสรรค์  ถูกต้องเหมาะสมและมีคุณธรรม

คุณลักษณะอันพึงประสงค์

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์  เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข  ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก  ดังนี้

1.  รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์

2.  ซื่อสัตย์สุจริต

3.  มีวินัย

4.  ใฝ่เรียนรู้

5.  อยู่อย่างพอเพียง

6.  มุ่งมั่นในกรทำงาน

7.  รักความเป็นไทย

8.  มีจิตสาธารณะ

มาตรฐานการเรียนรู้

การพัฒนาผู้เรียนเกิดความสมดุล  ต้องคำนึงถึงหลักการพัฒนาทางสมองและพหุปัญญา  หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้  8  กลุ่มสาระการเรียนรู้  ดังนี้

1.  ภาษาไทย

2.  คณิตศาสตร์

3.  วิทยาศาสตร์

4.  สังคมศึกษา  ศาสนาและวัฒนธรรม

5.  สุขศึกษาและพลศึกษา

6.  ศิลปะ

7.  การงานอาชีพและเทคโนโลยี

8.  ภาษาต่างประเทศ

ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้  เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้  มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน  นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบเพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร  จะสอนอย่างไรและประเมินผลอย่างไร 

 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

          กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  มุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพ  พัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย  สติปัญญา  อารมณ์  สังคม  เสริมสร้างให้เป็นผู้มีศีลธรรม  จริยธรรม  มีระเบียบวินัยปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม  สามารถจัดการตนเองได้ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  แบ่งเป็น   3  ลักษณะ  ดังนี้

1. กิจกรรมแนะแนว  เป็นกิจกรรมส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง  รู้รักษ์สิ่งแวดล้อม  สามารถคิดตัดสินใจ  คิดแก้ปัญหา  กำหนดเป้าหมาย  วางแผนชีวิตทั้งด้านการเรียนและอาชีพ  สามารถปรับตนได้อย่างเหมาะสม  นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียนทั้งยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเหลือและให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองนักเรียนในการมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียน

2. กิจกรรมนักเรียน  เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย  ความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี  มีความรับผิดชอบ  การทำงานร่วมกัน  การรู้จักแก้ปัญหาการตัดสินใจที่เหมาะสม ความมีเหตุผล การช่วยเหลือแบ่งปันกัน  เอื้ออาทรและสมานฉันท์โดยจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน  ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองในทุกขั้นตอนได้แก่การศึกษาวิเคราะห์วางแผน  ปฏิบัติตามแผน  ประเมินและปรับปรุงการทำงาน      เน้นการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน  ปริบทของสถานศึกษาและท้องถิ่น  กิจกรรมนักเรียน  ประกอบด้วย

2.1  กิจกรรมลูกเสือ-เนตรนารี/ลูกเสือวิสามัญ/ผู้บำเพ็ญประโยชน์/นักศึกษาวิชาทหาร

2.2  กิจกรรมชุมนุม

 

3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม  ชุมชนและท้องถิ่นตามความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร  เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบ  ความดีงาม  ความเสียสละต่อสังคม  มีจิตสาธารณะ   เช่น  กิจกรรมอาสาพัฒนาต่าง ๆ  กิจกรรมสร้างสรรค์สังคม

การจัดเวลาเรียน

          หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ได้กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานขั้นต่ำสำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้  8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมได้ตามความพร้อมและจุดเน้น โดยสามารถปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรียน ดังนี้

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ( ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1–3 )  ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค  มีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน  คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต  ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียน  มีค่าน้ำหนักวิชาเท่ากับ  1.0  หน่วยกิต (นก.)

ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4–6)  ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค  มีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน  คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิต  ใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อภาคเรียน  มีค่าน้ำหนักวิชาเท่ากับ  1.0  หน่วยกิต (นก.)

การกำหนดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานและเพิ่มเติม   สถานศึกษาสามารถดำเนินการ ดังนี้

          ระดับมัธยมศึกษา   ต้องจัดโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานให้เป็นไปตามที่กำหนด    และสอดคล้องกับเกณฑ์การจบหลักสูตร  สำหรับเวลาเรียนเพิ่มเติมทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา  ให้จัดเป็นรายวิชาเพิ่มเติมหรือกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้นของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสูตร

          กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่กำหนดไว้ในชั้นประถมศึกษาปีที่  1  ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีละ  120 ชั่วโมง และชั้นมัธยมศึกษาปีที่  4–6  จำนวน  360  ชั่วโมงนั้น  เป็นเวลาสำหรับปฏิบัติกิจกรรมแนะแนวกิจกรรมนักเรียนและกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์  ในส่วนกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ให้สถานศึกษาจัดสรรเวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรม  ดังนี้

          ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ( ม. 1 – 3 )      รวม  3  ปี       จำนวน   45  ชั่วโมง

          ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม. 4 – 6 )    รวม  3 ปี        จำนวน   60  ชั่วโมง

เกณฑ์การวัดและประเมินผลการเรียน

1.  การตัดสิน การให้ระดับและการรายงานผลการเรียน

1.1 การตัดสินผลการเรียน

ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้  การอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน  คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น   ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก  และต้องเก็บข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ

ระดับมัธยมศึกษา

(1) ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมดในรายวิชานั้นๆ

(2) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุกตัวชี้วัด และผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด

(3) ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา

(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน  และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด  ในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

การพิจารณาเลื่อนชั้นทั้งระกับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยและสถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้  ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้เลื่อนชั้นได้  แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้  ทั้งนี้ให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้ความสามารถของผู้เรียนเป็นสำคัญ

1.2  การให้ระดับผลการเรียน

ระดับมัธยมศึกษา

การตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียนเป็น  8 ระดับ

                   การประเมินการอ่าน  คิดวิเคราะห์และเขียน  และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้มีระดับผลการประเมินเป็นดีเยี่ยม ดี ผ่าน และไม่ผ่าน

                   การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม  การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน  ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด  และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผ่านและไม่ผ่าน

1.3    การรายงานผลการเรียน

การรายงานผลการเรียนเป็นการสื่อสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน  ซึ่งสถานศึกษาต้องสรุปผลการประเมินและจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ  หรือย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง

                    การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียนที่สะท้อนมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้

2. เกณฑ์การจบการศึกษา

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน  กำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเป็น  3 ระดับคือ  ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น  และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

2.1  เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

                   (1) ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม  โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66 หน่วยกิต  และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด

                   (2) ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต  โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 66หน่วยกิต และรายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 11 หน่วยกิต

                   (3) ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

(4) ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

(5) ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

2.3  เกณฑ์การจบระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

                   1.  ผู้เรียนเรียนรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติม   โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิต  และรายวิชาเพิ่มเติมตามที่สถานศึกษากำหนด

                   2.  ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิตตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิต  และรายวิชาเพิ่มเติม ไม่น้อยกว่า 36 หน่วยกิต

                   3.  ผู้เรียนมีผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

                   4.  ผู้เรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในระดับผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

                   5.  ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่สถานศึกษากำหนด

          สำหรับการจบการศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาเฉพาะทาง การศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ  การศึกษาทางเลือก  การศึกษาสำหรับผู้ด้อยโอกาส  การศึกษาตามอัธยาศัย  ให้คณะกรรมการของสถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา และผู้ที่เกี่ยวข้อง  ดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักเกณฑ์ในแนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ

เอกสารหลักฐานการศึกษา

เอกสารหลักฐานการศึกษา เป็นเอกสารสำคัญที่บันทึกผลการเรียน ข้อมูลและสารสนเทศ ที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. เอกสารหลักฐานการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด

1.1  ระเบียนแสดงผลการเรียน เป็นเอกาสารแสดงผลการเรียนและรับรองผลการเรียนของผู้เรียนตามรายวิชา ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษาและผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน  สถานศึกษาจะต้องบันทึกข้อมูลและออกเอกสารให้ผู้เรียนรายบุคคลเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6)  จบการศึกษาภาคบังคับ (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6)  หรือเมื่อออกจากสถานศึกษาในทุกกรณี

1.2  ประกาศนียบัตร  เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพื่อรับรองศักดิ์และสิทธิ์ของผู้จบการศึกษา  ที่สถานศึกษาให้ไว้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ และผู้จบการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน

                   1.3  แบบรายงานผู้สำเร็จการศึกษา เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดยบันทึกรายชื่อและข้อมูลของผู้จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6) จบการศึกษาภาคบังคับ (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3)      จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6)

2. เอกสารหลักฐานการศึกษาที่สถานศึกษากำหนด

เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเพื่อบันทึกพัฒนาการ ผลการเรียนรู้และข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับผู้เรียน เช่น แบบรายงานประจำตัวนักเรียน แบบบันทึกผลการเรียนประจำรายวิชา ระเบียนสะสม ใบรับรองผลการเยน และเอกสารอื่น ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการนำเอกสารไปใช้ 

การเทียบโอนผลการเรียน

สถานศึกษาสามารถเทียบโอนผลการเรียนของผู้เรียนในกรณีต่าง ๆ  ได้แก่  การย้ายสถานศึกษา  การเปลี่ยนรูปแบบการศึกษา การย้ายหลักสูตร การออกกลางคันและขอกลับเข้ารับการศึกษาต่อ การศึกษาจากต่างประเทศและขอเข้าศึกษาต่อในประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถเทียบโอนความรู้   ทักษะ   ประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้อื่นๆ  เช่น สถานประกอบการ สถาบันศาสนา สถาบันการฝึกอบรมอาชีพ การจัดการศึกษาโดยครอบครัว

          การเทียบโอนผลการเรียน ควรดำเนินการในช่วยก่อนเปิดภาคเรียน หรือต้นภาคเรียนที่สถานศึกษารับผู้ขอเทียบโอนผู้เรียน ทั้งนี้ ผู้เรียนที่ได้รับการเทียบโอนผลการเรียนต้องศึกษาต่อ เนื่องในสถานศึกษาที่รับเทียบโอนอย่างน้อย 1 ภาคเรียน โดยสถานศึกษาที่รับผู้เรียนจากการเทียบโอนควรกำหนดรายวิชา / จำนวนหน่วยกิตที่จะรับเทียบโอนตามความเหมาะสม   การพิจารณาการเทียบโอน สามารถดำเนินการได้  ดังนี้

1. พิจารณาจากหลักฐานการศึกษา และเอกสารอื่น ๆ ที่ให้ข้อมูลแสดงความรู้ ความสามารถของผู้เรียน

2. พิจารณาความรู้ ความสามารถของผู้เรียนโดยทดสอบด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้งภาคความรู้และภาคปฏิบัติ

3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบัติในสภาพจริง

การเทียบโอนผลการเรียนให้เป็นไปตามประกาศ หรือแนวปฏิบัติของกระทรวงศึกษาธิการ สำหรับการเทียบโอนเข้าสู่การศึกษาในระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเทียบโอนผลการเรียนเข้าสู่การศึกษาในระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน